จากเดิมที่หลายบ้านคุ้นเคยกับการชมละคร ดูข่าว ดูรายการต่างๆ เพียงอย่างเดียว ผ่านทีวีจอตู้ขนาดหนาๆ แต่สำหรับ Smart TV ถูกพัฒนาในหลายๆ ด้าน อาทิ ตัวเครื่องที่บางลง ฟังก์ชันการใช้งานที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การเข้าเว็บบราวเซอร์, ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันเพิ่มเติมได้เสมือนการใช้สมาร์ทโฟน หรือจะใช้แฟลชไดร์ฟต่อเข้ากับพอร์ตของ Smart TV เพื่อการฟังเพลง ชมภาพยนตร์ แถมบางรุ่นยังมีความ “ฉลาด” สามารถสั่งงานด้วยเสียง, ควบคุมด้วยท่าทาง หรือจะเป็นการปลดล็อคหน้าจอด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า เป็นต้น
– LCD (Liquid Crystal Display) เป็นเทคโนโลยีแรกๆ สำหรับทีวีจอแบน ใช้หลอดไฟ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ขนาดเท่าหลอดกาแฟ วางเรียงตัวเป็นแนวนอนอยู่ภายใต้หน้าจอเป็นตัวก่อกำเนิดแสง (Backlit) ทำงานร่วมกับ Color Filter ทั้ง 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว ก่อนแสดงผลออกมาสีสันต่างๆ ที่เราเห็นบนจอภาพนั่นเอง
– LED (light-emitting diode) เป็นประเภทของทีวียอดนิยมมากที่สุดในตลาด ต่อยอดเทคโนโลยีมาจาก LCD ใช้หลอดไฟ LED ขนาดจิ๋ว 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว เป็นตัวกำเนิดแสง แต่กลับให้แสงสว่างได้ดีว่า LCD กินไฟน้อยกว่า และตัวเครื่องมีความบางยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ LED TV ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นดังนี้
– EDGE LED เป็นประเภทที่มีการจัดวางหลอด LED ไว้ตามขอบทีวีทั้ง 4 ด้าน ทำหน้าที่ยิงแสงเข้ามากลางจอทีวี มีส่วนทำให้ตัวเครื่องมีขนาดบางลง และกินไฟน้อยกว่า LCD TV แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการแสดงสีสันที่จะด้อยกว่าประเภท Full LED
– Full LED จะเหนือกว่า EDGE LED ในเรื่องของการแสดงสีสันของภาพคมชัด สีสันสดใส Contrast สูง มีการจัดวางหลอด LED เต็มแผงหน้าจอ ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความหนาขึ้นเล็กน้อย เพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยี Local dimming ที่สามารถกำหนดการเปิดและปิดไฟเฉพาะจุดอัตโนมัติ ส่งต่อการแสดงภาพที่มีความสมจริง
– RGB LED เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของ LED เนื่องจากใช้หลอด LED 3 สีคือ RGB (แดง, เขียว, น้ำเงิน) เป็นตัวกำเนิดแสงมาจับเป็นกลุ่มเรียงเต็มแผงหน้าจอ พร้อมใช้เทคโนโลยี Local dimming แบบเดียวกับ Full LED ช่วยให้การแสดงผลภาพและสีสันมีความถูกต้อง ชัดเจน มีมิติมากกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้นกว่าทั้งสองประเภทที่กล่าวมา
– Plasma TV อีกประเภทของจอทีวี มีเม็ดพิกเซลที่สามารถให้กำเนิดแสงได้เองด้วยแรงดันไฟฟ้า แสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดี ให้สีดำที่ดำสนิท สีสันมีความเป็นธรรมชาติ มีมิติและมุมมองของการแสดงภาพที่กว้างกว่า LCD TV แต่กระจกของ Plasma TV จะสะท้อนแสงเมื่อตั้งอยู่ในห้องที่มีแสงจ้ามากๆ ทำให้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอลดคุณภาพลงไปพอสมควร รวมถึงมีอัตราการกินไฟมากอีกด้วย
– OLED TV (Organic Light Emitting Diodes)
เป็นประเภทของทีวีสมัยใหม่ ที่เสมือนเป็นการนำจุดแข็งของทีวีแต่ละประเภทมารวมไว้ในที่เดียว เม็ดพิกเซลสามารถให้กำเนิดแสงได้เองคล้ายกับ Plasma TV ไม่ต้องพึ่งหลอดไฟเหมือน LCD หรือ LED จุดเด่นของจอ OLED คือความบางและความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาหน้าจอให้มีความโค้งได้ กินไฟน้อย แสดงสีสันของภาพได้สม่ำเสมอไม่ว่าจะมองจากองศาใดก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยย่อมตามมาด้วยราคาที่แพงขึ้น
ซึ่งการรู้จักประเภทของจอภาพในเบื้องต้นนี้ เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ Smart TV ทั้งในเรื่องการใช้พลังงาน ความละเอียด สีสันของภาพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ “ราคา”
หลายคนอาจไม่เคยวางแผนมาก่อนว่าจะเลือกตำแหน่งวางทีวีเครื่องใหม่ในระยะห่างเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งบางคนอาจเข้าใจผิดอีกว่าระยะห่างไม่สำคัญ แค่จอใหญ่เท่าไหร่ยิ่งทำให้เห็นภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่แท้จริงขนาดหากตั้งในระยะห่างที่เหมาะสมก็จะช่วยให้เราได้เห็นภาพที่คมชัด สีสันที่สร้างความประทับใจ และยังเปรียบได้กับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นงามที่ประดับอยู่ในบ้านของคุณอีกด้วย ดังนั้นขนาดของห้องที่จะนำ Smart TV ไปจัดวางก็เป็นอีกหนึ่งข้อควรพิจารณาประกอบการเลือกซื้อด้วยเช่นกัน
– ทีวีขนาด 56 นิ้วขึ้นไป ระยะห่างควรอยู่ที่ 3 เมตรขึ้นไป
– ทีวีขนาด 46-55 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 2.5 ถึง 3 เมตร
– ทีวีขนาด 40-45 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 2 ถึง 2.5 เมตร
– ทีวีขนาด 32-39 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 1.5 ถึง 2 เมตร
– ทีวีขนาดต่ำกว่า 32 นิ้ว ลงมา ระยะห่างควรอยู่ที่ 1.5 เมตร หรือน้อยกว่านั้น
เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อ ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าในตลาดบ้านเราความละเอียดเริ่มต้นของทีวีจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
– HD (1366 x 768 Pixel) เป็นมาตรฐานความละเอียดที่แพร่หลายในตลาดปัจจุบัน รวมถึงรายการหรือละครทางทีวีหลายช่องในระบบทีวีดิจิตอล ก็มีการแพร่ภาพในระบบ HD แล้วด้วย สนับสนุนรับชมภาพที่มีความคมชัดและลงตัว นอกจากนี้ราคาทีวียังไม่แพงอีกด้วย
– Full HD (1920 x 1080 Pixel) อีกหนึ่งความละเอียดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ช่วยในการดูหนังแบบ Blu-ray, คอนเทนต์หรือรายการทีวีแบบ Full HD ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และแน่นอนเป็นความละเอียดที่สอดคล้องกับการรับชมรายการในระบบทีวิดิจิตอล
– UHD (Ultra High Definition หรือ 4K) มีความละเอียดอยู่ที่ 3840 x 2160 Pixel สูงกว่า Full HD ถึง 4 เท่า ซึ่งประโยชน์ของการแสดงภาพในความละเอียดระดับ UHD จะช่วยให้เราได้ชมภาพที่มีความคมชัด เสมือนจริง แถม UHD TV บางรุ่นยังมีฟังก์ชั่น Upscale ภาพ ในระดับ Full HD ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง UHD ได้ แต่ต้องยอมรับว่าคอนเทนต์ หรือรายการทีวีที่มีการถ่ายทำแบบ UHD ในประเทศไทยยังแทบไม่มีให้เห็น และราคาทีวียังค่อนข้างสูง
การเปลี่ยนแปลงความเป็นทีวีแบบเดิมๆ สู่ Smart TV ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ (OS) ที่ยกระดับการใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งการโหลดแอพพลิเคชัน, การเชื่องโยงกับบริการออนไลน์ต่างๆ, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และอื่นๆ ซึ่งนับว่าคุณสมบัติในปัจจุบันมีความใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เว้นแต่ยังไม่สามารถโทรเข้าโทรออกได้เท่านั้น
ด้วยความทันสมัยที่เกิดขึ้นกับ Smart TV ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ผู้ผลิตต่างมีความต้องการให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวก มีความง่ายต่อการใช้งาน และได้รับประสบการณ์ที่ดีผ่านระบบปฏิบัติการที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งระบบปฏิบัติการหรือ OS ที่ถูกนำมาใช้กับ Smart TV หลายแบรนด์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นดังนี้
เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาเพื่อการใช้งานร่วมกับ Smart TV และมีความใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รองรับการใช้งานแอพพลิเคชันได้เช่นเดียวกัน พร้อมคุณสมบัติของการขยายความบันเทิงอันหลากหลายบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตไปสู่หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ Android TV บางรุ่น อาทิ BRAVIA Android TV มีลูกเล่นที่เรียกว่า Google Cast ในตัว ที่สามารถส่งคอนเทนต์ต่างๆ เช่น วีดีโอจาก YouTube จากสมาร์ทโฟนให้ไปแสดงบนหน้าจอได้ พร้อมกันนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถเลือกและดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆที่คุ้นเคยบนสมาร์ทโฟน ให้มาปรากฎบนหน้าจอทีวีด้วย Google Play รวมทั้งใช้ Voice Search สามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อค้นหารายการ เนื้อหาต่าง ๆ และควบคุมโทรทัศน์ด้วยเสียงพูดผ่านไมโครโฟนบนรีโมทได้Line : @buyall (มีเครื่องหมาย@ด้วย)
Email : info@panmakapmue.co.th
โทร : 081-9160211 , 081-9160211
รายชื่อ 77 จังหวัดของประเทศไทย ที่เรารับซื้อ TV
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
———————————————————
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
———————————————————
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดปทุมธานี
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
———————————————————
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
———————————————————
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
———————————————————
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา