รีวิววันนี้เจอกับตัวนี้นะครับ
นี่คือ iPad Generation ที่ 8 นะครับ
เปิดตัวมาใหม่ล่าสุดในปี 2020 นะครับ
iPad ที่ไม่มีชื่อรุ่นนะครับ
หลายคนก็เรียกว่าเป็น iPad เฉย ๆ นะครับ
หลายคนเรียกตามชื่อ Generation นะครับ
ปีนี้ก็เป็น Gen 8 แล้วนะครับ
ที่สำคัญก็คือนี้เป็น iPad ที่มีราคาถูกที่สุด ในรายชื่อ iPad ปัจจุบันของ Apple นะครับ
ความแตกต่างของ Gen 8 ในปีนี้เทียบกับ Gen 7 ของปีที่แล้ว ถือว่าต่างกันน้อยมาก ๆ เลยนะครับ
ถ้าเกิดเราเอา 2 เครื่องมาวางเทียบกัน จะไม่สามารถหาความแตกต่างจากภายนอกได้เลยนะครับ
เหมือนกันทุกอย่าง ขนาด น้ำหนัก ตัวเลือกของสี ความจุต่าง ๆ ขนาดหน้าจอ ปุ่มโฮม Touch ID ตำแหน่งของปุ่ม ตำแหน่งของพอร์ต เท่าเดิมทุกอย่างเลยนะครับ
สิ่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่างออกไปนะครับ
ก็คือมีการอัปเกรดชิปโพรเซสเซอร์นะครับ
จากเดิม Gen 7 ใช้ Apple A10 นะครับ
อัปเกรดมาเป็น A12 Bionic ในปีนี้ รวมถึงเปิดราคาขายเริ่มต้นเท่าเดิมด้วยนะครับ
ที่ 10,900 บาท หรือว่า
ถ้าเกิดใครเป็นนักเรียน นักศึกษา ก็สามารถซื้อได้ราคาถูกกว่านี้เล็กน้อยครับ
แต่ว่า iPad รุ่นเริ่มต้นนี้ จะยังคงความคุ้มค่าได้เหมือนกับปีที่แล้วหรือเปล่า สเปกนี้ไหวไหมสำหรับปี 2020 ผมรีวิวให้ชมในคลิปนี้ครับ
ก่อนที่จะไปเข้าถึงความคุ้มค่านะครับ
ผมพาดูรอบตัวเครื่อง iPad สักครั้งหนึ่งนะครับ
แม้ว่าดีไซน์จะเป็นดีไซน์เดียวกันกับปีที่แล้วก็ตาม
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับสเปกของ iPad มากนักนะครับ
ผมเล่าให้ฟังแบบเร็ว ๆ ตัวเครื่องนี้มีการปรับปรุงให้บางมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ
นั่นก็คือมีความหนาเพียงแค่ 7.5 มิลลิเมตร แล้วก็น้ำหนักเบามาก ถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่ Thin and Light พอสมควรเลยนะครับ
น้ำหนักวัยรุ่น WiFi อยู่ที่ 490 กรัมนะครับ
ถ้าเกิดเป็นรุ่น WiFi กับ Cellular ก็หนักขึ้นมาอีกนิดเดียวเป็น 495 กรัมครับ
ด้านหลังก็เรียบสนิทเลยนะครับ
ตรงตัวกล้องไม่มี Camera Bump หรือว่าไม่ยื่นออกมานะครับ
เวลาเราวางไปกับพื้นโต๊ะก็จะเรียบไม่กระดกเลยนะครับ
กล้องมีขนาดเล็กนิดเดียวเท่านั้นเอง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลครับ
ด้านบนของตัวเครื่องเป็นตำแหน่งของปุ่ม Power นะครับ
และที่หลายคนน่าจะชอบ ก็คือยังมีพอร์ต 3.5 มิลลิเมตร สำหรับเสียบหูฟังมาให้อยู่ครับ
ด้านข้างเป็นตำแหน่งของปุ่มเพิ่มลดเสียง และด้านล่างเป็นตำแหน่งของลำโพงสเตริโอ กับช่องเสียบชาร์จที่เป็นพอร์ต Lightning อยู่นะครับ
ยังไม่ได้ปรับปรุงเป็น USB Type C ในรุ่นนี้ครับ
และด้านซ้ายเราจะเห็นจุด 3 จุดตรงนี้ ที่ทาง Apple เพิ่มเข้ามาใน iPad รุ่นเริ่มต้น ตั้งแต่ Gen 7 หรือว่าตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ
ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Smart Connector ให้เราสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ Accessories ที่เป็น Smart Keyboard ของทาง Apple เองได้ครับ
และพลิกมาด้านหน้าส่วนที่เราจะต้องใช้งานบ่อยที่สุด ก็คือหน้าจอ หน้าจอของ iPad ทั้ง Gen 7 ปีที่แล้ว แล้วก็ Gen 8 ของปีนี้สเปกเดียวกันทุกอย่างนะครับ
ก็คือขนาดหน้าจออย่างเดียวอยู่ที่ 10.2 นิ้วนะครับ
ถือว่าใหญ่พอสมควร แล้วก็เขาให้ความละเอียดหน้าจอสูงมากนะครับ
เป็นหน้าจอ Retina ที่เราจะไม่สามารถเห็นเม็ดพิกเซลได้แบบง่าย ๆ เลย รองรับทุกแอปพลิเคชันในปัจจุบันอย่างแน่นอน มีการสัมผัสที่ลื่นไหลมาก ๆ ตามสไตล์ของอุปกรณ์ Apple อยู่แล้ว สิ่งที่เราจะไม่ได้เท่ากับ iPad รุ่นใหญ่ ๆ หรือว่า iPad Pro ก็คือเราจะไม่ได้ Refresh Rate สูงถึง 120 เฮิรตซ์ แบบที่ iPad Pro มีนะครับ
ตัวนี้ก็จะเป็น Refresh Rate 60 เฮิรตซ์ปกติครับ
ด้านหน้ายังคงดีไซน์โบราณหน่อยนะครับ
ก็คือเราจะเห็นขอบหน้าจอค่อนข้างใหญ่ ทั้งด้านบนและด้านล่าง ด้านบนจะมีกล้อง Facetime HD ความละเอียดแค่ 720p เท่านั้นอยู่กึ่งกลางตรงนี้ครับ
ในขณะที่ด้านล่างยังคงมีปุ่มโฮมมาให้อยู่นะครับ
ซึ่งเป็นตำแหน่งของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID มาด้วย
แต่ว่าตั้งแต่ Apple อัปเดตมาเป็น iPadOS นะครับ
เราก็แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ของปุ่มโฮมที่แท้จริงสักเท่าไหร่แล้ว เพราะว่าเวลาเราอยู่ในแอปพลิเคชันไหนก็ตาม เราสามารถกลับหน้าโฮมได้ จากการเลื่อนหน้าจอจากด้านล่างขึ้นมาอยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องเอานิ้วของเรากดปุ่มโฮมลงไปตรงๆ
ดังนั้นปุ่มวงกลมใหญ่ ๆ ที่กินพื้นที่เทอะทะอยู่ด้านล่างตรงนี้ ตอนนี้มีประโยชน์แค่ เอาไว้ปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือของเราเท่านั้นเอง สิ่งที่ Apple ทำกับ iPad Gen 8 ตัวนี้ ก็คือมีการอัปเกรดตัวโพรเซสเซอร์ จากเดิม Gen 7 เขาใช้ชิป Apple A10 มาเป็น Gen 8 ตัวนี้เขาใช้ชิป Apple A12 Bionic ซึ่งชิป A12 Bionic มันจะมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า Neural Engine ในการที่จะช่วยคำนวณ ช่วยประมวลผลแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อน ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นครับ
และชิป A12 Bionic ตัวนี้ ก็เคยถูกใช้ใน iPhone รุ่นท็อปนะครับ
อย่าง iPhone XS iPhone XS Max แล้วก็ iPhone XR มาก่อนแล้วด้วยครับ
iPad mini รุ่นปัจจุบันกับ iPad Air รุ่นก่อนหน้า ที่มันจะมีหลาย ๆ สีให้เลือก ก็ใช้ชิป A12 Bionic เช่นเดียวกันนะครับ
ดังนั้นก็น่าจะช่วยให้หลายคนคลายความกังวลได้ ว่าเราเลือกซื้อ iPad รุ่นเริ่มต้น รุ่นที่ถูกที่สุดในตลาดตอนนี้ที่เพิ่งออกมาใหม่นี้ จะทำให้เราไม่สามารถรันแอปพลิเคชันบางตัว ที่ iPad รุ่นแรง ๆ อย่างรุ่น Pro สามารถรันได้หรือเปล่า เพราะว่าราคาถูก iPad Pro เกินครึ่งซะอีกนะครับ
พอเขาใช้ชิปที่แรงขึ้น ก็การันตีได้เลย ว่าทุกแอปพลิเคชันที่เรากดดาวน์โหลดได้จาก App Store สามารถรันบน iPad ตัวนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่รันได้นะครับ
แต่ว่ารันได้เร็ว รันได้แรงกว่า iPad รุ่นก่อนหน้าอีกด้วย และอีกหนึ่งสิ่งที่การันตีได้ ว่า iPad ตัวนี้
ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้น ราคาย่อมเยาสักหน่อย
แต่ว่ามันสามารถรันได้ทุกอย่างเท่ากับ iPad รุ่นพี่นะครับ
นั่นก็คือระบบปฏิบัติการของเขา ก็จะได้ iPad OS เวอร์ชันล่าสุดเช่นเดียวกันนะครับ
เราซื้อมาแกะกล่องมา จะติดตั้ง iPadOS 14 มาให้กับเราเลยนะครับ
ซึ่งก็เป็นเวอร์ชันปัจจุบัน เวอร์ชั่นเดียวกันกับที่รุ่นใหญ่ ๆ สามารถรันได้นั่นแหละ คลายความกังวลให้กับหลาย ๆ คนนะครับ
ทุกฟีเจอร์ใน iPadOS 14 ที่ถูกอัปเกรดมาใหม่ สามารถใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบใน iPad รุ่นที่ 8 ตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น Multitasking ต่าง ๆ ความสามารถในการรองรับอุปกรณ์เสริม อย่าง Apple Pencil หรือว่าพวก Accessories ที่เป็นคีย์บอร์ดแยกต่างหาก
ตัวนี้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ครับ
อย่างไรก็ตามเราเห็นว่านี่เป็น iPad ราคาเริ่มต้นหมื่นเศษ ๆ เท่านั้นเอง
แต่ว่าเราได้ iPad รุ่นใหม่ล่าสุดของปีนี้ มีความคุ้มค่าอย่างมากเลยใช่ไหมครับ
สามารถลงได้ทุกแอป ได้ iPadOS 14 มาจากโรงงานอย่างนี้นะครับ
การันตีได้ว่า เราน่าจะได้รับการอัปเกรดต่อไปอีกหลายปีเหมือนกัน นี่ดูเป็น iPad ที่คุ้มค่ามากๆ
แต่ว่าก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อนะครับ
มาฟังข้อควรรู้กับข้อควรระวัง รวมถึงข้อด้อยของ iPad ตัวนี้ก่อน
ถ้าฟังจนจบแล้วรับได้ทุกข้อ ค่อยกำเงินออกไปซื้อกันครับ
ข้อแรกก็คือ
ถ้าเกิดเรามาดูสเปกกันจริง ๆ เราจะเห็นว่าราคาเริ่มต้นของเขา 10,900 บาท เราจะได้สเปกเป็นรุ่น WiFi ที่ไม่ใช่รุ่นที่ใส่ซิมได้ กับความจุเพียงแค่ 32GB เท่านั้น นี่เป็นอุปกรณ์ Apple ชิ้นเดียวในตลาดตอนนี้ ที่ให้ความจุดเริ่มต้นมาแค่ 32GB แม้กระทั่ง iPhone SE รุ่นประหยัดที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ความจุเริ่มต้นก็ 64GB นะครับ
iPad mini รุ่นเริ่มต้นที่เปิดตัวปีที่แล้ว ก็ความจุเริ่มต้น 64GB นะครับ
ตัวนี้ให้ความจุมาแค่ 32GB กับปี 2020 ความเห็นส่วนตัวของผม คิดว่า
ถ้าจะใช้ตัวนี้ไปอีกยาวนานหลายปีนี้ แนะนำให้เพิ่มเงินอีก 3,000 บาท และเอารุ่น 128GB จะดีกว่า
ดังนั้นตอนนี้ราคาเริ่มต้นไม่ใช่ 10,900 บาทแล้วนะครับ
ถ้าเกิดเราจะเอา 128GB ก็ต้องไปเริ่มต้น WiFi ที่ 13,900 บาท คือ
ถ้าเกิดใครจะเอารุ่นใส่ซิมได้ ต้องเพิ่มเงินอีก 4,500 บาท เพื่อที่จะได้ WiFi + Cellular ครับ
เรื่องที่ 2 ที่เราต้องยอมรับให้ได้ ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นเจ้าของ iPad Gen 8 นะครับ
ก็คือต้องยอมรับว่าฮาร์ดแวร์หลายส่วนของเขา ตกรุ่นแล้ว คือค่อนข้างโบราณแล้วนะครับ
แม้ว่าหน้าจอจะยังสวยงามดีอยู่นะครับ
สเปกหน้าจอยอดเยี่ยมมาก ๆ
แต่ว่าดีไซน์ของกรอบตัวเครื่องที่มีความหนาเยอะขนาดนี้ ก็น่าจะตกรุ่นเร็ว ๆ นี้นะครับ
ปุ่มโฮมที่รุ่นใหม่ ๆ ก็ไม่มีมาให้แล้วนะครับ
เราเห็นตัวอย่างจากการเปิดตัว iPad Air ไปแล้ว ว่าเขาเอาปุ่มโฮมออกนะครับ
แม้ว่าจะยังรักษา Touch ID ไว้อยู่ โดยที่ย้ายไปที่ปุ่ม Power ก็เป็นสัญญาณบอกแล้ว ว่า iPad รุ่นต่อไป ก็เตรียมตัวที่จะไม่มีปุ่มโฮมแล้วเช่นเดียวกันนะครับ
กล้องที่ค่อนข้างแย่เลยในรุ่นนี้ ด้านหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถ่ายวิดีโอ 4K ยังไม่ได้เลยนะครับ
ได้สูงสุดที่ Full HD ไม่มีแฟลชไม่มีอะไรมาให้ทั้งนั้น กล้องหน้านี้ยิ่งแล้วใหญ่เลยนะครับ
ถ่าย Full HD ยังไม่ได้เลยนะครับ
ได้แค่ HD 720p ทั่ว ๆ ไปเท่านั้นนะครับ
รวมทั้งส่องมาดูด้านล่างนะครับ
พอร์ต Lightning ก็เตรียมตกรุ่นเช่นเดียวกันนะครับ
เพราะว่า iPad Air ก็ได้ USB-C ไปแล้วนะครับ
ดังนั้น
ถ้าเกิดใครคิดว่ารับได้กับฮาร์ดแวร์โดยรวมของเครื่องนี้ ที่น่าจะถึงปลายอายุของมันแทบจะทุกส่วนแล้ว ก็ไปต่อกันได้ครับ
เรื่องถัดมาก็คือสำหรับคนที่ชอบ ขีด ๆ เขียน ๆ iPad รุ่นนี้ก็แน่นอนยังรองรับ Apple Pencil อยู่
แต่ว่ายังเป็น Apple Pencil รุ่นแรกนะครับ
ที่ดีไซน์กลม ๆ มน ๆ ลื่น ๆ กลิ้งได้อย่างนี้นะครับ
พร้อมหายได้ตลอดเวลา เพราะว่าไม่สามารถที่จะใช้แม่เหล็กยึดติดกับอะไรได้เลย Apple Pencil ตัวนี้ ยังมีอีกหนึ่งข้อที่หลายคนน่าจะขัดใจ ก็คือตอนที่เราเอามาจับคู่หรือว่าเสียบชาร์จเข้ากับมัน ก็ยังคงต้องใช้ในท่านี้อยู่นะครับ
นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ 2020 ควรจะเป็นนะครับ
แต่ว่า
ถ้าเกิดใครตัดสินใจใช้ iPad รุ่นนี้ ก็ต้องใช้ Pencil รุ่นนี้ แล้วก็ต้องมาจับคู่แบบนี้ ชาร์จแบบนี้อยู่ครับ
และเรื่องถัดมา ที่หลายคนจะต้องเตรียมตัวเอาไว้นะครับ
ก็คือราคาของ Accessories ต่าง ๆ นะครับ
ที่สามารถใช้งานกับ iPad Gen 8 นี้ได้ เราพูดถึง Apple Pencil ไปแล้วนะครับ
Apple Pencil รุ่น 1 ตอนนี้ราคาขายอยู่ที่ 3,400 บาท
ดังนั้นใครตั้งใจที่จะซื้อตัวนี้มาใช้งานกับ Apple Pencil อย่าลืมเตรียมงบส่วนนี้ไว้ด้วยนะครับ
ถัดมาตัว Smart Keyboard ตรงนี้นะครับ
ที่สามารถเชื่อมต่อได้ด้วย Smart Connector ที่ตอนนี้มีมาให้แล้ว เคสตัวนี้จริง ๆ ก็ใช้งานสะดวกมากเลยครับ
เพราะว่าสามารถที่จะเก็บมา เป็นเคสด้านหน้าป้องกันหน้าจอได้ด้วย ถือพกไปไหนมาไหนได้อย่างง่ายดายนะครับ
ไม่ได้หนาจนเกินไป แล้วก็อยากจะพิมพ์เมื่อไหร่ เราก็สามารถที่จะกางตัวคีย์บอร์ดออกมา ใช้งานได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ครับ
แต่ว่า Smart Keyboard ตัวนี้สำหรับ iPad Gen 8 ราคาอยู่ที่ 5,290 บาทนะครับ
ราคาแรงทีเดียว ครึ่งหนึ่งของตัวเครื่องเลยนะครับ
หรือ
ถ้าเกิดใครไม่ได้ใช้คีย์บอร์ด ต้องการที่จะปกป้องหน้าจอของเราไม่ให้เป็นรอย ก็มี Smart Cover ที่ตอนนี้ออกมามีสีใหม่ ๆ มีสีเท่ ๆ อย่างนี้ด้วยนะครับ
สีสันสดใสน่ารักนะครับ
Smart Cover ตัวนี้ที่ป้องกันด้านหน้าอย่างเดียว ติดด้วยแม่เหล็ก 2,290 บาทครับ
อย่าลืมเตรียมงบส่วนนี้ไว้ด้วย อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนะครับ
เพราะว่าถูกเปลี่ยนมาใหม่ใน iPad Gen 8 รอบนี้ ก็คือในกล่องเขาจะให้หัวชาร์จมาเป็น USB Type C แล้ว รวมถึงสายชาร์จเป็น Type C to Lightning นะครับ
และก็อะแดปเตอร์ Type C ที่ให้มาไม่ธรรมดา เพราะว่ามี Rating สูงถึง 20 วัตต์ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนะครับ
เพิ่งจะใช้อะแดปเตอร์ Type C 20 วัตต์ กับ iPad Gen 8 ตัวนี้ กับ iPad Air ที่กำลังจะวางขายเร็ว ๆ นี้ครับ
เราได้ฟังทั้งข้อดีและก็ข้อเสียแล้วนะครับ
ใครฟังจนจบแล้วยังรับได้อยู่ นี่เป็น iPad ตัวหนึ่งที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดในตลาดตอนนี้ ตัวราคาอุปกรณ์เสริมที่เราเห็นว่าราคาค่อนข้างสูง มันไม่ได้สูงแค่กับ iPad Gen 8 หรอกครับ
ต่อให้เราไปตัดสินใจซื้อ iPad รุ่นสูงกว่านี้ พวก iPad Air หรือ iPad Pro เราก็ต้องเตรียมงบไว้ สำหรับอุปกรณ์เสริมของ Apple ที่มีระดับราคาประมาณนี้อยู่ดี ผมสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ
ตัว iPad Gen 8 ตอนนี้ มีขายในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยนะครับ
แบ่งออกเป็น 2 รุ่น ก็คือรุ่น WiFi กับรุ่น WiFi + Cellular ที่สามารถใส่ซิมได้นะครับ
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,900 บาท สำหรับ WiFi 32GB นะครับ
ถ้าเกิดจะเพิ่มเป็นรุ่น Cellular ต้องเพิ่มเงิน 4,500 บาท และ
ถ้าเกิดจะเพิ่มความจุเป็น 128GB ต้องเพิ่มเงินไปอีก 3,000 บาทนะครับ
Line : @buyall (มีเครื่องหมาย@ด้วย)
Email : info@panmakapmue.co.th
โทร : 081-9160211 , 081-9160211
รายชื่อ 77 จังหวัดของประเทศไทย ที่เรารับซื้อ ipad
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
———————————————————
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
———————————————————
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดปทุมธานี
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
———————————————————
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
———————————————————
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
———————————————————
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา