คราวก่อนเรามาสอนวิธีการอ่านสเปก AVR แบบเบื้องต้นกันไปแล้ว ว่าควรดูค่าไหน อะไรอย่างไร
วันนี้มาดูกันต่อกับการอ่านสเปกลำโพงดูหนังระดับ newbie เบื้องต้น ว่ามีอะไรน่าสนใจให้อ่านกันบ้าง และเราควรใส่ใจค่าไหนเป็นพิเศษ เริ่มเลย ลุย
1. Impedance
เป็นค่าที่บอกการดึงกระแสของลำโพงตัวนั้นๆ มีหน่วยเป็นโอม ลำโพงทั่วๆไปจะมีอิมพีแด้นซ์ประมาณ 6-8 โอม หากลำโพงอิมพีแด้นซ์ต่ำๆ เช่น 4-6 โอม จะยิ่งดึงกระแส และต้องการกำลังขับที่สูงจากตัวแอมป์ แอมป์จะร้อน ทำงานหนัก และหากไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับค่าอิมพีแด้นซ์ต่ำๆ ก็จะเสียหายได้ แอมป์บ้านดูหนังทั่วๆไปมักจะมีค่าประมาณ 6-8 โอม ค่ายิ่งต่ำยิ่งต้องการกำลังสูง ลำโพงที่อิมพีแด้นซ์ต่ำมากๆบางตัวจึงขับยากและต้องการแอมป์กำลังสูงๆ คุณภาพดีมากขับ
ในตัวอย่างของเรามีค่าเป็น 8 ถือว่าปกติ ไม่ได้ดึงกระแสจากแอมป์มาก
2. Power handling
บอกกำลังขับที่ต้องการ ปกติกำลังที่บอกก็คือกำลังที่ป้อนที่รับได้สูงสุดในสภาวะทำงานปกติ นั่นก็คือ continuous ในตัวอย่างก็แปลว่ารองรับที่ 250 วัตต์ จะป้อนมากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะระเบิด เพราะหากเราป้อนแอมป์ที่มีกำลังน้อยๆ มันก็สามารถทำงานได้ และหากเราใช้แอมป์กำลังสูงๆมาขับ แล้วไม่ได้เร่งจนต้องการกำลังสูงในระดับมากกว่า 250 วัตต์นานมากๆ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะสเปกของลำโพงยังระบุไว้อีกว่ามันสามารถรองรับกำลังที่มากกว่า 250 วัตต์ หรือที่เราเรียกว่าในจังหวะพีคได้ถึง 1000 วัตต์
แต่ทั่วๆไปการป้อนแอมป์กำลังวัตต์สูงๆ นั้นจะให้เสียงที่ดังในระดับความดังปกติ
ที่เราฟังกันได้โดยไม่ต้องเร่งแอมป์มาก และการที่จะป้อนกำลังจนลำโพงเสียหายนั้นจะต้องเร่ง volume จนคนปกติไม่สามารถทนฟังได้ ดังนั้นการใช้แอมป์กำลังสูงๆขับลำโพงตัวเล็กๆที่ต้องการกำลังน้อยๆจึงไม่เป็นอันตรายอะไรมาก หากเราไม่เร่งจนสุดแล้ววิ่งหนีออกจากห้อง เปิดทิ้งไว้ติดต่อกัน แต่กลับกันการใช้แอมป์กำลังต่ำมากๆ แล้วมาขับลำโพงที่ขับยากมากๆ แล้วต้องเร่งแอมป์เค้นเยอะๆเพื่อให้ได้เสียงดังในจุดที่ต้องการ กลับมีอันตรายกับลำโพงมากกว่า เพราะอาจทำให้ลำโพงหรือทวีตเตอร์ขาดเสียหายได้
3. Sensitivity
ค่าความไวที่บอกความขับง่ายของลำโพง มีหน่วยเป็นเดซิเบล หากค่านี้เยอะ แสดงว่าต้องการกำลังที่ต่ำในการทำให้ลำโพงตัวนึงมีเสียงดังที่ระดับนึง เช่น ค่าแสดง 92 dB แปลว่า เราป้อนกำลัง 1 วัตต์ ลำโพงจะให้เสียงดัง 92 dB ที่ระยะนั่งฟัง 1 เมตร
หากเรานั่งฟังห่างออกมากความดังก็จะลดลงไปตามส่วน และหากเพิ่มกำลังอีกเป็น 2 วัตต์ จะดังเพิ่ม 3 dB เป็น 95 dB และที่ 4 วัตต์จะดัง 98 dB และที่ 8 วัตต์จะดัง 101 dB และที่ 16, 32, 64, 128, 256 วัตต์ จะให้ความดังสุด 116 dB ตามลำดับ เป็นต้น
แปลว่าในทุกๆความดังที่เพิ่มขึ้นแค่ 3 dB จะต้องใช้กำลังขับที่มากขึ้นถึงสองเท่า
ลำโพง home audio ทั่วๆไปส่วนมากจะมีความดังพีคสุดที่ระดับ 110-113 dB ไม่เกินนี้ แต่ลำโพง Home cinema จะสามารถรองรับความดังได้มากกว่านั้น เพราะต้องออกแบบให้ใช้ในห้องฟังที่เป็น Dedicated Home theater ที่มีขนาดใหญ่ และเปิดดังกว่าปกติเวลารับชมภาพยนตร์ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ลำโพง home cinema จึงต้องมีคุณสมบัติสำคัญที่เหนือกว่าลำโพงทั่วไปอยู่ข้อนึงนั่นคือ ต้องมี performance ที่สูง เร่งได้ดัง distortion ต้องต่ำ และต้องรองรับกำลังขับที่สูงกว่าปกติ ด้วย การออกแบบลำโพง home cinema ที่ขับยากค่า sensitivity ต่ำๆจึงไม่เป็นที่นิยมและไม่ค่อยพบเห็นกัน เพราะการที่จะให้เสียงดังเพิ่มแค่ 3 dB นั้นต้องใช้กำลังสูงขึ้นถึงสองเท่า ลำโพง Home cinema ขับยากจึงไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ต่างจากลำโพงฟังเพลงที่ขับยากก็ไม่ส่งผลอะไรกับการใช้งานมาก เพราะเราต้องการคุณภาพและความไพเราะในการฟังเพลงในระดับความดังที่ฟังทั่วไปไม่ดังมากเหมือนการดูหนังนั่นเอง
เมื่อรู้ว่าความดังแค่ 3 dB มันได้มายากเพียงไรแบบนี้แล้ว ก็จงภูมิใจว่าการมีลำโพงที่ดี performance สูง รองรับความดังระดับอ้างอิง และพีคได้ดังพอในการรับชมภาพยนตร์ในห้องของเรา และที่สำคัญมีน้ำเสียงที่ถูกใจและมีคุณภาพดีแม้เปิดในระดับดังมากๆนั้น เป็นสเปกที่มาพร้อมกับลำโพงชั้นดีที่หาได้ยากครับ
4. Maximum SPL
คือค่าความดังสูงสุดของลำโพงที่ให้ได้ ซึ่งลำโพงบ้านหรือลำโพงฟังเพลงทั่วๆไปจะให้ความดังในระดับ 110-113 dB แต่ลำโพง Home Cinema ต้องให้ได้มากกว่านั้นดังเช่นในสเปกระบุไว้ว่า ให้ค่า
SPL เฉลี่ย 116 dB ที่การวางลอยๆไว้บนขาตั้ง และพีคไปได้ถึง 122 dB
SPL เฉลี่ยจะสูงขึ้นไปถึง 122 dB หากติดตั้งใน baffle wall และพีคไปได้ถึง 128 dB
จะสังเกตว่าลำโพง cinema หากติดตั้งใน baffle wall จะให้ความดังสูงขึ้นกว่าการวางลอยๆในห้องถึง 6 dB ซึ่งสเปกลำโพง home cinema ส่วนใหญ่จะบอกความดังเมื่อติตตั้งใน baffle wall มาด้วย
(ส่วนความเชื่อเรื่องลำโพงต้องตั้งห่างกำแพง 2 ใน 3 ส่วนอะไรนั่นลืมๆไปก่อน)
ในความดังระดับนี้ลำโพงบ้านทั่วๆไปไม่สามารถทำได้ ข้อดีของลำโพงที่มีค่า spl ดังมาก ก็คือมันจะมาด้วย distortion ที่ต่ำที่ความดังระดับปกติและที่ความดังระดับสูงมากๆก็ยังฟังได้ ไม่พล่าเบลอ
ลำโพง Home cinema บางตัวที่มีค่า sensitivity สูงมากๆ ขับง่ายๆมากๆ สามารถให้ max spl ได้สูงระดับ 130 dB เลยก็มี (sensitivity 97 dB) ยี่ห้ออะไรไปหาเองเอง แต่อย่างไรก็ตามค่าเหล่านี้ใช้บอกระดับ performance ของลำโพงว่าเร่งได้ดัง มีคุณภาพสูง แต่น้ำเสียงและความชอบนั้นเป็นอีกเรื่องนึงที่ควรต้องพิจารณา ตัวที่ performance ดี เราอาจจะไม่ชอบเสียงของมันก็ได้ เช่นเดียวกับคนเรา หากเราเลือกคู่ชีวิตที่ทำงานเก่ง performance ดี kpi เยี่ยมเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบบุคลิค จิตใจและลักษณะนิสัยเขา มันก็เท่านั้น
แต่ถ้ามันมีลำโพงตัวใดที่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาพร้อมคู่กัน ทั้งชอบในน้ำเสียงและมี spl และ sensitivity ที่ดีด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่า run don’t walk แล้วรีบซื้อมาใช้ซะ
ปล. ค่า spl ของลำโพง Home cinema จึงถือว่าเป็นค่าสำคัญ ต่างจากลำโพงฟังเพลง
5. Frequency Response
ค่าที่บอกว่าลำโพงตั้วนั้นๆสามารถรองรับความถี่ได้ตั้งแต่ช่วงไหน เราจะเห็นว่าลำโพงบ้าน Home Audio ทั่วไปแข่งกันลงลึก ยิ่งลำโพงแพง ลำโพงตั้งพื้นตัวใหญ่ตัวสูงเท่าฝ้าลงลึกได้เท่านู้นเท่านี้ ได้ 25 บ้าง 30 บ้าง ยิ่งแพง ยิ่งลึก ยิ่งของดี
ค่าต่ำๆในลำโพงฟังเพลงจึงเป็นของดี และหายาก และแพง แต่ลำโพง Home cinema ส่วนใหญ่มักจะลงแค่ 80 Hz และไม่ได้แคร์ว่าจะต้องไปขุดเอาความถี่ต่ำกว่า 80 Hz มาทำประโยชน์อันใด เพราะการดูหนังเราใช้คนละหลักกับการฟังเพลง
ส่วนใหญ่ในการดูหนัง Home cinema เราจะตัด cross ที่ 80 Hz หรือสูงกว่านั้น ลำโพง Home cinema ส่วนใหญ่จะลงได้แค่นั้น เพราะในระบบดูหนังนั้นจะต้องการคุณภาพของความถี่ต่ำในระดับต่ำกว่า 80 Hz ลงมาที่ดี ซึ่งลำโพงหลักที่ให้เสียงกลางแหลมด้วย ไม่สามารถให้คุณภาพ ไดนามิค และแรงกระแทกในระดับที่ซับวูฟเฟอร์ดูหนังดีๆให้ได้ จึงต้องตัดส่วนนี้ให้คนที่เขาเก่งกว่ารับไปทำ (Subwoofer) ซึ่งตรงนี้จะมองต่างจากการฟังเพลง ที่กรูขอมาคู่เดียว โซโลเดี่ยว ใครใช้ซับช่วยแปลว่าไม่เก๋าจริง คู่เดียวทำตั้งแต่ 20 ลากไปจนบางทีไป 5 หมื่น Hz ขึ้นไปก็มี
สเปกของลำโพงตัวนี้รองรับความถี่ที่ 80-20 kHz จะเห็นว่าสเปก Frequency Response ของลำโพง Home cinema จะไม่มีอะไรที่เลิศหรูอลังการมากเหมือนลำโพงฟังเพลง (ลำโพงฟังเพลงบางตัวราคาแค่ 5-6 หมื่น ให้ค่า freq response 38 – 50,000 Hz ซึ่งถ้าอ่านค่านี้ค่าเดียวเราจะเห็นว่าลำโพงฟังเพลงดีกว่ามากๆ แต่ความจริงแล้วเราต้องเลือกลำโพงให้ถูกกับการใช้งานและดูประกอบกัน ไม่ใช่อ่านแค่ค่าใดค่าหนึ่ง) คือใน Home cinema เขาเชื่อว่าหูคนเราฟังได้เท่านี้ ก็เอาเท่านี้ ฟังด้วยหู วัดด้วยกราฟ แล้วจบ วัดที่จำนวน คุณภาพ ไม่เอาความรู้สึก
ปล. ค่า Frequency Response ของลำโพง Home cinema ถือว่าเป็นค่าที่ไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าไร่ ดูไม่หวือหวามาก เมื่อเทียบกับลำโพงฟังเพลงที่ยิ่งมี range กว้างมาก ยิ่งแพง
6. Crossover
ค่านี้ส่วนใหญ่เป็นค่าทางเทคนิคที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่คนฟังอาจจะไม่ต้องสนใจก็ได้ ก็คือเป็นค่าระบุถึงการตัดว่าจะให้ลำโพงตัวใดทำงานที่ความถี่ใด เช่นระบุ 1.4 kHz ก็แปลว่าตั้งแต่ 1.4 – 20 kHz จะเป็นหน้าที่ของดอกทวีตเตอร์ และต่ำกว่านี้จะเป็นหน้าที่ของวูฟเฟอร์กลางแหลม ซึ่งเอาจริงๆตรงนี้ user อย่างเราที่ไม่ใช่นัก diy ไม่ต้องไปสนใจมันก็ได้ครับ ให้ดูคร่าวๆว่ามันขับง่ายมั๊ย SPL เท่าไร่ และที่สำคัญเสียงดีถูกใจเราหรือเปล่าก็พอแล้ว มันจะตัดครอสเท่าไร่ ดอกไหนทำตรงไหนนี่ ผมว่าเกินระดับคนใช้งานอย่างเราที่จะต้องไปให้ความสนใจครับ
7. Connectivity
ตัวนี้บอกถึงช่องต่อที่รองรับ ซึ่งถ้ามันเป็นลำโพงประเภท passive speaker ก็แน่นอนครับมันต้องมีแค่ช่องเสียบสายลำโพง (ถ้ามันมี optical หรือ hdmi ก็คงแปลก) ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ยิ่งลำโพง cinema นี่ยิ่งไม่ต้องไปสนใจเลยด้วยซ้ำว่ามันจะให้ช่องต่อลำโพงมาเป็น single wire หรือมี bi wire มาด้วยหรือเปล่า เพราะ home cinema เขาจะเน้นที่เรื่อง โทนเสียง แนวเสียง กราฟ ความถี่ spl sensitivity และค่าอื่นๆ ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องต้องรองรับสายลำโพงแบบ bi wire เหมือนสายฟังเพลงอะไรแบบนั้น แต่ถ้ากังวลว่าถ้าไมใช่สาย bi wire เดี๋ยวมิติไม่ได้ อิมเมจ ซาวดสเตจไม่ดี รายละเอียดไม่หยุ่มหยิม ก็ขอบอกว่า อย่าไปใส่ใจมันเลยครับ มันมีผลกับเสียงในระบบดูหนังน้อยมาก มีปัจจัยที่มีผลกับเสียงมากกว่านั้นอีกเยอะ แต่ลำโพง Home cinema บางตัวก็ให้ขั้วต่อมาเป็น bi wire ก็มีนะ
8. ที่เหลือเป็นพวกสเปกดอกลำโพง สเปกทวีตเตอร์ น้ำหนัก ขนาด
ซึ่งค่าเหล่านี้จะบอกวัสดุ และชื่อการตลาดของแต่ละยี่ห้อว่าใช้อะไรทำดอก ยี่ห้ออะไร ซึ่งก็จะไม่สามารถบอกอะไรได้นัก แต่ถ้าเล่น Home cinema ส่วนใหญ่ทวีตเตอร์จะมาเป็น Horn หรือมาในชื่อ compression driver ซึ่งได้รับความนิยมเพราะในระบบดูหนังนั้นต้องการความเข้ม dynamic ของเสียงที่สูงกว่าแบบซอฟท์โดม
จบ คราวหน้าเราจะมาลองอ่านสเปกของ power amp กันดูบ้าง ว่ามีค่าไหนน่าสนใจที่ควรต้องเน้น และตัวไหนสเปกดีคุ้มกับราคา ไปละจ้า
Line : @buyall (มีเครื่องหมาย@ด้วย)
Email : info@panmakapmue.co.th
โทร : 081-9160211 , 081-9160211
รายชื่อ 77 จังหวัดของประเทศไทย ที่เรารับซื้อ ลำโพง
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
———————————————————
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
———————————————————
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดปทุมธานี
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
———————————————————
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
———————————————————
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
———————————————————
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา