Desktop Computer และ Server นั้น มีทั้งสิ่งที่เหมือนกัน และไม่เหมือนกัน โดยเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่จะใช้ระบบประมวลผลแบบ X86X64 CPUs และสามารถทำงานในรูปแบบ Code เดียวกันกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่ใช้ X86/X64 ได้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ Physical Server ส่วนใหญ่จะรองรับการติดตั้ง CPU หลายๆ Socket และรองรับปริมาณการใส่ Ram ได้จำนวนมากกว่าเยอะเลยครับ
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของเซิฟเวอร์คือตัวเครื่องจะมีความแข็งแรงทนทานกว่า PC ทั่วไป มีการออกแบบมาให้สามารถระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถเปิดใช้งานได้ 24 ชั่วโมงต่อเนื่องกันหลายๆ วัน หรือเป็นเดือนเป็นปีเลยทีเดียวครับ
เพราะ Server Hardware นั้นมักใช้ทำงานกับข้อมูลที่มีความสำคัญสูงจำนวนมากๆ เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่จึงถูกออกแบบมาให้รองรับการทำ Redundant (สำรองอุปกรณ์) ทั้งตัวมันเอง และชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ภายในตัวเครื่อง
ตัวเครื่องอาจจะประกอบด้วย Redundant Power Supply, Harddisk (RAID) และ Network Interfaces ซึ่งระบบการรีดันแดนท์นี้ช่วยให้ Server ยังสามารถทำงานต่อไปได้แม้ชิ้นส่วนหลักเกิดความเสียหายขึ้นมา
นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อแตกต่างของ Server กับ Desktop Computer คือ Form Factor โดยปัจจุบันคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมักจะออกแบบมาในรูปทรง Mini Tower หรือ Small Form ซึ่งออกแบบมาให้ติดตั้งกับโต๊ะทำงานได้อย่างสะดวก ประหยัดเนื้อที่ ในส่วนของเซิร์ฟเวอร์นั้น แม้จะมีบางรุ่นที่ออกแบบมาในรูปทรง Tower คล้ายๆ คอมพิวเตอร์เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีดีไซน์เป็นรูปแบบ Rack Mounted เสียมากกว่า ระบบ Rack นั้นจะมีมาตรฐานขนาดที่ตายตัว แตกต่างกันเพียงแต่ความสูง ซึ่งใช้หน่วยเป็น 1U, 2U หรือ 4U เป็นต้น
อีกหนึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญของเซิร์ฟเวอร์และคอมพิวเตอร์ทั่วไป คือระบบปฏิบัติการ นั่นเอง โดย OS ของ Desktop Computer นั้น สามารถรองรับฟีเจอร์การทำงานของ Server ได้แค่บางฟังก์ชั่นเท่านั้น แต่ไม่ได้ออกแบบมาให้ Support ทุกๆ การใช้งานครับ ยกตัวอย่างเช่น Windows 10 Pro ทั่วไป ก็มีฟีเจอร์ Hyper-V ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในการสร้าง Virtual Machine ของ Microsoft ให้ใช้งานเหมือนกัน แต่ Hypervisor ของ Windows 10 Pro จะไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์บางส่วนของ Virtual Servers ได้เหมือน Windows Server